ราชสีห์กับหนู

     ไปโน่น....ออกไปโน่นเลย  ปลายไร่ที่ติดกับทุ่งหญ้าเคี้ยวเขียว  ยามบ่ายแดดเปรี้ยงแต่ก็ยังพอมีลมอ่อนโชย

เฉื่อยอยู่บ้าง ซึ่งอาการนี้ไม่ว่าคนหรือแมวก็เหอะ  พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนไปตามธรรมเนียม  ที่นั่น

ราชสีห์หนุ่มก็ยังรู้สึกอ่อนปวกเปียกจนเผลอหลับสนิทขนาดว่าหนูนาตัวจ้อยมาดุ้กดิ้กดุ้กดิ้กอยู่ซอกจั้กกะแร้ยังไม่ได้รู้เรื่องเลย 

...ส่วนเจ้าหนูน้อยก็กระไรช่างไร้เดียงสา หลับๆตื่นๆพลิกตัวไปมา มิสำคัญว่ามหาภัย  พอเสียงมือถือที่ฟากกระโน้นกรี้งงขึ้น

ก็เหมือนเราๆ  อุ่ม กาน ดิ๊....ตาสว่าง....เจ้าสองตัวสะดุ้งขึ้นพร้อมกันและก็ หนีบอยู่ตรงซอกกะแร้นั่นแหละ  

      "โอ้ะโอ๋..เจ้าตัวน้อย  นี่ไม่ได้รู้เรื่องเลยเชียวรึ นี่จ้าวป่านะจ้ะ"   ..."โอย ท่านผู้เป็นราชาแห่งสัตว์ทั้งปวงข้าพเจ้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์

   ได้โปรดไว้ชีวิตด้วย"  "เอาเถอะยกให้ครั้ง รีบไปซะ"  "เป็นพระคุณยิ่งหากตอบแทนได้ถ้าท่านมีภัยโปรดเรียกแล้วข้าพเจ้าจักมาโดยพลัน"          

 

          "ฮ่าๆ เจ้าตัวน้อย..อย่างเจ้า..อย่างข้าฯ.. อย่ามาทำตีเสมอ รีบๆเลย  ยิ่งไกลยิ่งดี"

 นีแหละจ้าวแห่งสัตว์ป่านิสัยไม่ได้เคยนึกว่าจะเสียทีใคร  ก็จนเผลอเดินไปติดบ่วงนายพรานเข้านั่นแหละ ไม่รู้ว่าร้องหรือคำรามให้ลั่นทุ่ง 

 คงทำบุญไว้มั่ง  เจ้าตัวจ้อยได้ยินเข้าก็รีบวางมือจากงาน จู้ดเดียวถึง  เชือกมะนิลาเส้นใหญ่หรือจะทานทนฟันน้องหนู

               แล้วนั่นจึงได้รู้ว่ากระทั่งเจ้าป่าก็ยังทำอะไรกับไอ้แค่เส้นเชือกไม่ได้  หนูน่ะนะจะบอกให้ กับไอ้เรื่อง..อีช่างแทะนี้นะ

ญี่ปุ่นเวียนหัวกับมันมากๆเลย  เคยถึงกับผสมตะไคร้กระเทียมลงไปในเปลือกหุ้มสายไฟฟ้า  แต่ก็ไม่รู้ว่าเจอไซแอมมีสไซแอมเม้าสเข้าจะเกิดอะไร

ขึ้นนะ   แต่ก็ได้ยินว่ามาสด้าโครโนสกลัวหนูไทยที่สุด

                          

 

            นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าหมิ่นผู้ต่ำต้อยกว่า วันหนึ่งเราอาจต้องพึ่งเขา ชีวิตต้องพึ่งพากัน